ดีไซเนอร์สายแฟชั่นมักมุ่งเน้นไปที่วัยรุ่นมาโดยตลอด พวกเขาใช้นายแบบนางแบบรุ่นเยาว์เดินบนรันเวย์ ใส่ใจเด็ก ๆ มิลเลนเนียลมากกว่าคนยุคเบบี้บูมเมอร์ และให้ความสนใจกับดาราฮอลลีวูดหน้าใหม่
แต่ไม่ใช่ ฟิลิป ฮวง ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานของเขาคือเหล่าคุณยาย
“เมื่อเดือนเมษายน ปี 2015 พวกเราเดินทางเพื่อตามหาแม่ ๆ ที่ทำสีคราม” ฟิลิปเล่า เมื่อไม่นานมานี้เขาได้บอกลาบ้านที่นิวยอร์ก ที่ ๆ เขามีความสุขและประสบความสำเร็จในอาชีพสายนายแบบ เพื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯพร้อมกับภรรยา ชมวรรณ วีรวรวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Mysterious Ordinary
ทั้งคู่ให้ความสนใจในเรื่องการทำเสื้อผ้าและสีมานานหลายปี พวกเขาได้เข้ารับการฝึกอบรมการย้อมสีครามเมื่อหลายปีก่อน และเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวของชุมชนในจังหวัดสกลนครที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเม็ดสี พวกเขาจึงอยากรู้และศึกษามากขึ้น “เราไม่มี[ไอเดีย]ในใจตอนเราออกเดินทาง เราแค่อยากรู้เกี่ยวกับสีครามว่ามันมาจากไหน และผมต้องการเห็นประเทศไทยมากกว่านี้” ฟิลิปกล่าว ชมวรรณกล่าวเสริม “เราทำการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย พริ้นท์รายชื่อหมู่บ้านและแวะไปหาพวกเขา ขับรถจากกรุงเทพฯประมาณ 13 ชั่วโมง”
Weeraworawit wears Max Mara sweater (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
Huang wears Giorgio Armani suit (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
ข้ามรุ่น
ทันทีที่พวกเขาไปถึง ฟิลิปและชมวรรณตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้ในทันที พวกเขาเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ จากช่างฝีมือท้องถิ่น การทำสีคราม ไหมปั่นมือและผ้าฝ้าย ในไม่ช้าพวกเขากลับพบว่าพวกเขาเดินทางไปสกลนครและจังหวัดอื่น ๆ ในภาคอีสานทุกสัปดาห์เพื่อทำการทดลองวัสดุที่พวกเขาหาได้กับใครก็ตามที่ยอมเปิดใจรับไอเดียของพวกเขา อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่จุดประสงค์เดียวของการออกเดินทาง
“หมู่บ้านต่าง ๆ คือชุมชนย้อมสี ซึ่งมีคุณยายคนหนึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเสมอ” ชมวรรณกล่าว “เราโชคดีมากที่ได้พบคุณยายคนหนึ่ง ซึ่งมักจะทดลองอะไรใหม่ ๆ เสมอ ในหมู่บ้านอื่น ๆ หากเราแนะนำสิ่งใหม่ ๆ เช่น ลองใช้แคชเมียร์ดูไหม พวกเขามักจะพูดว่า ‘เราไม่อยากทำให้แคชเมียร์เปรอะเปื้อน’ ในขณะที่คุณยายคนนี้จะพูดว่า ‘ผ้ามันนุ่มดีนะ ลองดูเลยไหม’” ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ทั้งคู่ได้ก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองชื่อ ฟิลิป ฮวง และเริ่มทำงานกับชุมชนในสกลนครสำหรับคอลเลคชั่นของพวกเขา ฟิลิปรับหน้าที่ในการออกแบบ ในขณะที่ชมวรรณดูแลในเรื่องการสร้างแบรนด์และแคมเปญต่าง ๆ ในเดือนมกราคม ปี 2017 ทั้งคู่ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นแรกของพวกเขาในนิวยอร์ก
Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong
Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong
ขนบธรรมเนียมที่ยั่งยืน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาได้เดินทางไปสกลนคร ฟิลิปและชมวรรณรู้สึกประทับใจกับขบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของพวกคุณยายเป็นอย่างมาก สีครามคือเม็ดสีที่ถูกบดขยี้จากใบไม้ด้วยมือเปล่า แล้วเติมลงในถังหมัก ซึ่งเปลี่ยนให้เป็นสีย้อมผ้าสีคราม กระบวนการนี้ใช้ความอุตสาหะและใช้เวลานาน แต่ก็เป็นวิธีการที่ส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน
“คุณสามารถใส่ของลงในถังหมักได้อย่างจำกัด” ฟิลิปกล่าว “มันเหนื่อยมาก แล้วคุณต้องใส่[ส่วนผสม เช่น มะนาวและมะขาม]และปล่อยทิ้งไว้” ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถผลิตเสื้อผ้าได้ครั้งละนิดเท่านั้น และของเสียจากการผลิตแต่ละครั้งก็น้อยลงซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างมากเมื่อผลิตเสื้อผ้าในระดับอุตสาหกรรม ผ้าที่ผลิตในท้องถิ่นจากสกลนครคือความยั่งยืนอีกด้วย “เกษตรกรสวมใส่ผ้าฝ้ายทอมือในทุ่งนาและพวกเขาต้องการให้เราเห็นผ้าที่สวยงามเหล่านี้ เสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเขาถูกผลิตขึ้นเพื่อให้มีอายุยืนยาว” ชมวรรณกล่าวกล่าว “แต่ความยั่งยืนที่เราพูดถึง คือการส่งผ่านขนบธรรมเนียมจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับพวกเขา พวกเขาแค่คิดถึงการเอาชีวิตรอดเท่านั้น”
ใน 4 คอลเลคชั่นของเขา ฟิลิปใช้เทคนิคไทยแบบดั้งเดิมนี้และสีย้อมจากธรรมชาติเพื่อผลิตเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ทุกเพศและทันสมัยเมื่อออกไปเฉิดฉายบนถนนในนิวยอร์ก ปารีส หรือมิลาน คอลเลคชั่นเสื้อผ้าที่สะอาดตาและเรียบง่าย เช่น เสื้อยืดขนาดใหญ่และเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าฝ้ายจากอีสาน ทุกชิ้นถูกทำขึ้นอย่างประณีต เช่น เสื้อผ้าสวมสบายสไตล์ฟิลิปอย่างแจ็คเก็ตสไตล์กิโมโนสีคราม และจั๊มสูทผ้ามัดหมี่ ซึ่งแต่ละชุดทำมาจากผ้าที่มีลวดลายความยาวถึง 4 เมตร
Huang wears Philip Huang shirt, Giorgio Armani trousers (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
Children wear CPS Chaps outfits (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
ก้าวสู่การลงมือทำ
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังมองหาทางที่จะผลักดันขอบเขตเนื้อผ้าไปอีกขั้น “ผ้าไหมมักถูกมองว่าเป็นวัสดุที่ละเอียดอ่อนที่ต้องซักแห้งเท่านั้น และต้องได้รับการดูแลอย่างดี แต่ในการทดลองของผมพบว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นหนึ่งในเส้นใยที่แข็งแกร่งที่สุด” ฟิลิปกล่าว “ดังนั้นผมจึงเริ่มใช้มันแบบหยาบ ๆ เพื่อดูว่ามันคงทนแค่ไหน และได้กลายมาเป็นแจ็คเก็ตตัวพองที่ด้านหนึ่งเป็นผ้าไหมและอีกด้านเป็นไนลอน มันทนทานมาก คุณสามารถใส่เล่นสกีได้สบาย ๆ ผ้าไหมเป็นผ้าอัจฉริยะที่จะทำให้คุณอบอุ่นเมื่ออากาศหนาวและให้ความเย็นเมื่ออากาศร้อน”
ฟิลิปเริ่มตัดเย็บเส้นด้ายสะท้อนแสงเข้าไปในตะเข็บของจั๊มสูทผ้ามัดหมี่ของเขา “ผมคิด ‘ถ้าเราใส่เสื้อตัวนี้ในนิวยอร์ก มีฟังก์ชั่นอะไรที่เราจะได้ใช้บ้าง’ ผมเล่นสเก็ตบอร์ดและขี่มอเตอร์ไซค์ ดังนั้นผมจึงต้องการชิ้นงานที่เหมาะกับมันเช่นกัน”
การผสมผสานระหว่างสปอร์ตแวร์และผ้าไทยแบบดั้งเดิมได้รับแรงบันดาลใจมาจากเด็กวัยรุ่นจากหมู่บ้านในสกลนคร “สิ่งที่คุณเห็นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา คือการที่งานฝีมือนั้นกำลังจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยสปอร์ตแวร์แบบถูก ๆ ซึ่งใช้เส้นใยสังเคราะห์ เพราะนั่นคือสิ่งที่เด็กวัยรุ่นต้องการ” ชมวรรณกล่าว “แต่แทนที่จะรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ พวกเขากลับเห็นว่า คุณควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าทำมือหรือเสื้อผ้าที่ทันสมัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันคิดว่ามันมีพื้นที่ให้กับทั้งสองอย่าง”
งานวิจัยของทั้งคู่เผยว่า การใช้สีครามคือการพัฒนาสปอร์ตแวร์ไปอีกขั้น “ผ้าครามช่วยป้องกันรังสียูวีตามธรรมชาติและต้านแบคทีเรีย ในอดีตซามูไรบางคนจะสวมผ้าครามไว้ใต้เกราะ เพราะถ้าพวกเขาบาดเจ็บ ก็จะมีโอกาสติดเชื้อน้อยลง”
Weeraworawit wears Alberta Ferretti suit (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong
การผสมผสานระหว่างประเพณีเก่าแก่กับวิถีชีวิตที่ทันสมัยจะรวมอยู่ในคอลเลคชั่นที่จะมาถึงของฟิลิป ซึ่งมีการวางจำหน่ายในเดือนที่ผ่านมา “คอลเลคชั่นนี้สรุปทุกสิ่งที่เราค้นคว้ามาตลอด 4 ปี” ชมวรรณกล่าว “ฟิลิปกำลังศึกษาสีอื่น ๆ และวิธีการใช้สิ่งต่าง ๆ เหมือนที่เขาอธิบายถึงผ้าไหม ผู้คนไม่ได้ปรับใช้มัน ผ้าไหมเป็นสิ่งที่คุณต้องเคารพ ดังนั้นในการที่มีใครสักคนเข้ามาทำให้มันมีชีวิตชีวาอีกครั้งและปรับเปลี่ยนมันไปเป็นอย่างอื่น นั่นแสดงให้เห็นว่ามีทางเลือกอื่น ๆ ในการปรับใช้ ในการรวมสิ่งต่าง ๆ เราคือลูกผสมของทั้งสองสิ่ง”
ภูมิหลังที่หลากหลาย
ชมวรรณ คือคนไทยที่เติบโตในลอนดอน ศึกษาเล่าเรียนที่ปารีส และทำงานที่นิวยอร์ก ในขณะที่ฟิลิปเกิดที่สหรัฐอเมริกา ครอบครัวของเขาอพยพมาจากไต้หวัน ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ “อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นสำหรับแบรนด์คืออีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตของเราทุกคน” ชมวรรณกล่าว ในอดีตพวกเขาอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ที่ที่ชมวรรณทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารและการสร้างแบรนด์ ในขณะที่ฟิลิปกำลังสร้างชื่อเสียงในฐานะนายแบบเอเชียคนแรกที่ได้รับการว่าจ้างจากแบรนด์อย่าง Gucci และ Dolce & Gabbana “ที่เมืองไทย ฟิลิปได้ทำในสิ่งที่เขารัก เรายังเดินทางอยู่บ่อย ๆ ฉันยังคงได้ใช้คอนเนคชั่นและความสัมพันธ์ที่ฉันได้สร้างไว้จาก Mysterious Ordinary ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเราทำงานร่วมกัน”
Huang and Weeraworawit with their children at Cape Fahn Hotel in Koh Samui. Weeraworawit wears Alberta Ferretti dress, Huang wears Philip Huang shirt, Giorgio Armani trousers, children wear CPS Chaps outfits (Photo: Tom Hoops for Tatler Hong Kong)
จากโปรเจกต์ของเธอที่ร่วมงานกับ Mysterious Ordinary ซึ่งมีตั้งแต่การจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ ไปจนถึงการผลิตโฆษณาสำหรับแบรนด์แฟชั่น ชมวรรณได้ทำงานร่วมกับผู้นำในอุตสาหกรรมที่หลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น นักแสดง Tilda Swinton ผู้กำกับเจ้าของรางวัลปาล์มทองคำ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ศิลปินร่วมสมัย ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช และ กรกฤต อรุณานนท์ชัย และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อน ๆ และประสบการณ์ที่ชมวรรณได้สร้างร่วมกันกับพวกเขา คือแรงบันดาลใจในอีกก้าวของแบรนด์ ฟิลิป ฮวง นั่นคือการเปิดร้านสาขาแรก
“ร้านจะอยู่ในกรุงเทพฯอย่างแน่นอน” ชมวรรณกล่าว เธอกล่าวเสริมอีกว่าพวกเขาหวังว่าจะได้เปิดในช่วงฤดูร้อนนี้ “ช่วงไฮซีซั่นที่นี่ค่อนข้างบ้าคลั่งเสมอเมื่อผู้คนจากทั่วโลกแวะมาเที่ยวบ้านเรา แต่มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่วงไฮซีซั่น ผู้คนแวะมาตลอดทั้งปี และผู้คนต้องการเยี่ยมชมสตูดิโอและพื้นที่สร้างสรรค์อื่น ๆ ไม่ใช่แค่ห้างสรรพสินค้า ดังนั้นเราต้องการให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมและสามารถลองเสื้อผ้าได้ เราอาจนำเสนอสินค้ากึ่งให้ความรู้ คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการ[ย้อมสี]หรืออาจทำป๊อปอัพสโตร์ ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับ[นักออกแบบและนักแสดง] Waris Ahluwalia ซึ่งตอนนี้เขากำลังทำชา มันอาจเป็นสถานที่ที่ดีในการทำป๊อปอัพสโตร์ของเขา”
และแน่นอนว่า มันจะเป็นพื้นที่สำหรับแม่ ๆ ที่ทำผ้าครามด้วย “เมื่อเราแวะไปที่หมู่บ้านในสกลนคร เราแวะไปที่บ้านของพวกแม่ ๆ” ฟิลิปกล่าว “คงจะดีถ้าเราได้เชิญพวกเขามาที่ร้านของเรา ที่บ้านของเรา”