หลังจากขึ้นแท่นตำแหน่งเมืองที่แพงที่สุดร่วมกับนครปารีสและสิงคโปร์ในการสำรวจค่าครองชีพทั่วโลกในปี 2019 โดย Economist Intelligence Unit ฮ่องกงถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่แพงที่สุดอีกครั้งสำหรับสินค้าปละบริการหรูหรา จาก Global Wealth and Lifestyle Report โดย Julius Baer ธนาคารเอกชนจากสวิสเซอร์แลนด์
จากค่าดัชนีไลฟ์สไตล์ของธนาคาร Julius Baer ผู้เชี่ยวชาญด้าน Wealth Report Asia ซึ่งเริ่มต้นในปี 2011 รายงานใหม่ฉบับนี้ติดตามและเปรียบเทียบรายการสินค้าไลฟ์สไตล์หรูหรากว่า 20 รายการ ตั้งแต่รถยนต์ไฮบริด ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปจนถึงห้องสวีทของโรงแรมจาก 28 เมืองทั่วโลก ซึ่งประกอบไปด้วย 10 แห่งในเอเชีย 12 แห่งในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) และอีก 6 แห่งในอเมริกา
แม้ว่าครั้งหนึ่งจะถูกใช้เพียงกับสิ่งของที่จับต้องได้ คำว่า “หรูหรา” ได้รับการนิยามใหม่ให้เป็น “หมวดหมู่กว้าง ๆ ที่รวมถึงการบริการและประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารในภัตราคารหรูไปจนถึงเทรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ อย่างกิจกรรมเพื่อสุขภาพ” กล่าวในรายงานโดยจิมมี่ ลี หัวหน้า Julius Baer เอเชียแปซิฟิก
Asia, India, Mumbai, general view of the Mumbai skyline from the Malabar district in the city centre
รายงานแสดงให้เห็นว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีราคาแพงที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ซึ่งมีถึง 6 เมืองจาก 10 เมืองที่แพงที่สุด โดยอันดับสูงสุดต้องยกให้ฮ่องกงไปครอง สำหรับรถยนต์หรูขึ้นแท่นถึง 8 เมือง จาก 10 เมืองที่แพงที่สุด ในขณะเดียวกันเอเชียก็เป็นที่ตั้งของเมืองที่ถูกที่สุดในรายงานเช่นกัน นั่นก็คือเมืองมุมไบ
อย่างไรก็ตามก็ยังมีเรื่องดี ๆ ที่สามารถพบได้ในเมืองที่แพงที่สุดเช่นกัน หากไม่นับสถานบริการและโรงแรม แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงอาจมีราคาแพง แต่สินค้าแบรนด์เนมในฮ่องกงนั้นไม่ได้เก็บภาษี เซี่ยงไฮ้กลับมีราคาแพงกว่าฮ่องกงเมื่อพูดถึงเรื่องบริการ ในขณะเดียวกันโตเกียวซึ่งเป็นเมืองที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นอันดับ 3 กลับเป็นเมืองที่ห้องชุดโรงแรมแพงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ก็คุ้มค่ากว่าหากพูดถึงนาฬิกาและไวน์
See also: The Best Luxury Hotels in Tokyo: 2020 Edition
