หากคุณอยากเปลี่ยนสิ่งที่รักให้เป็นงานประจำ… The Banana Warrior มีคำตอบ

Julia Panchkowry สาววัย 35 ปี ผู้หลงรักการอบขนมเป็นชีวิตจิตใจ เธออยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ The Banana Warrior แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพจากกรุงเทพฯที่เชี่ยวชาญด้านการทำขนมวีแก้นแสนอร่อย ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี Julia เปิดตัวธุรกิจที่ใส่ใจสุขภาพได้อย่างประสบความสำเร็จ เราตัดสินใจที่จะนั่งคุยกับผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจเพื่อความยั่งยืนคนนี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ของเธอ เรื่องราวของเธอ และที่สำคัญเธอมีเคล็ดลับในการเปลี่ยนสิ่งที่รักให้กลายเป็นงานประจำได้อย่างไร…. Image: Courtesy of The Banana Warrior Julia Panchkowry คือใคร ก่อนที่จะมีแบรนด์ The Banana Warrior? ฉันเป็นคุณครูสอนชั้นประถมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในลอนดอน เล่นโยคะเกือบทุกวัน ชอบอบขนมและขดตัวอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ที่แชร์กับเพื่อนในตัวเมือง สมัยอยู่ลอนดอนฉันจะอบขนมตลอดเวลา มันทำให้ฉันนึกถึงห้องครัวที่บ้านของคุณแม่ในชนบท ฉันรักการอบขนม ฉันจะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการอ่านหนังสือทำอาหารและส่องอินสตาแกรมของคนที่ชอบโพสต์เรื่องสุขภาพ การดูแลตัวเอง และการทำอาหาร ในขณะที่คิดกับตัวเองว่า ‘ฉันอยากให้มีคนติดตามเยอะ ๆ บ้างจัง ฉันจะได้แชร์สิ่งที่ฉันกำลังอบในห้องครัว’ อะไรทำให้คุณตัดสินใจย้ายมาเมืองไทย? ตอนนั้นฉันอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง แต่ฉันยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเรื่องอะไร เพื่อนที่เป็นครูได้ย้ายมาสอนหนังสือที่กรุงเทพฯและโทรมาบอกฉันว่ามีตำแหน่งครูสอนเด็กอนุบาลเปิดรับสมัครอยู่ ในตอนแรกฉันไม่ค่อยแน่ใจกับความคิดที่จะย้ายมากรุงเทพฯ ฉันเคยแวะพักที่กรุงเทพฯหนึ่งคืนระหว่างท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ 2-3 ปีก่อนและรู้สึกว่ามันวุ่นวายและร้อนมาก อีกทั้งฉันรู้สึกว่าการที่ต้องอยู่ไกลบ้านเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัว…

Published on
Read : 2 min
หากคุณอยากเปลี่ยนสิ่งที่รักให้เป็นงานประจำ… The Banana Warrior มีคำตอบ | Thailand Tatler

Julia Panchkowry สาววัย 35 ปี ผู้หลงรักการอบขนมเป็นชีวิตจิตใจ เธออยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ The Banana Warrior แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพจากกรุงเทพฯที่เชี่ยวชาญด้านการทำขนมวีแก้นแสนอร่อย ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี Julia เปิดตัวธุรกิจที่ใส่ใจสุขภาพได้อย่างประสบความสำเร็จ เราตัดสินใจที่จะนั่งคุยกับผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจเพื่อความยั่งยืนคนนี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ของเธอ เรื่องราวของเธอ และที่สำคัญเธอมีเคล็ดลับในการเปลี่ยนสิ่งที่รักให้กลายเป็นงานประจำได้อย่างไร….

Image: Courtesy of The Banana Warrior

Julia Panchkowry คือใคร ก่อนที่จะมีแบรนด์ The Banana Warrior?

ฉันเป็นคุณครูสอนชั้นประถมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในลอนดอน เล่นโยคะเกือบทุกวัน ชอบอบขนมและขดตัวอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ที่แชร์กับเพื่อนในตัวเมือง สมัยอยู่ลอนดอนฉันจะอบขนมตลอดเวลา มันทำให้ฉันนึกถึงห้องครัวที่บ้านของคุณแม่ในชนบท ฉันรักการอบขนม ฉันจะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการอ่านหนังสือทำอาหารและส่องอินสตาแกรมของคนที่ชอบโพสต์เรื่องสุขภาพ การดูแลตัวเอง และการทำอาหาร ในขณะที่คิดกับตัวเองว่า ‘ฉันอยากให้มีคนติดตามเยอะ ๆ บ้างจัง ฉันจะได้แชร์สิ่งที่ฉันกำลังอบในห้องครัว’

อะไรทำให้คุณตัดสินใจย้ายมาเมืองไทย?

ตอนนั้นฉันอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง แต่ฉันยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเรื่องอะไร เพื่อนที่เป็นครูได้ย้ายมาสอนหนังสือที่กรุงเทพฯและโทรมาบอกฉันว่ามีตำแหน่งครูสอนเด็กอนุบาลเปิดรับสมัครอยู่ ในตอนแรกฉันไม่ค่อยแน่ใจกับความคิดที่จะย้ายมากรุงเทพฯ ฉันเคยแวะพักที่กรุงเทพฯหนึ่งคืนระหว่างท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ 2-3 ปีก่อนและรู้สึกว่ามันวุ่นวายและร้อนมาก อีกทั้งฉันรู้สึกว่าการที่ต้องอยู่ไกลบ้านเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัว ฉันไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศมาก่อน แต่ฉันก็ตัดสินใจลองสัมภาษณ์งานดู ฉันรู้ผลการสัมภาษณ์งานในวันถัดมาและจัดกระเป๋าเพื่อย้ายมาประเทศไทย 2 สัปดาห์หลังจากนั้น

อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณก่อตั้ง The Banana Warrior?

ฉันได้มีโอกาสแวะไปที่โยคะสตูดิโอแถวสาทร หลังจากจบคลาสฉันรู้สึกหิวมาก จึงสังเกตเห็นว่าไม่มีของทานเล่นวางขายเลย ระหว่างทางกลับบ้านฉันบ่นกับตัวเองว่าน่าจะพกขนมปังกล้วยแบบวีแก้นที่ฉันอบติดตัวมาบ้าง เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันเลยตัดสินใจส่งข้อความถึงเจ้าของสตูดิโอเกี่ยวกับขนมปังกล้วยของฉัน ฉันไม่ได้มีแผนที่จะวางขาย ความคิดมันวิ่งเข้ามาในหัวและฉันก็ลงมือทำมัน

หลังจากได้พูดคุยกัน เจ้าของโยคะสตูดิโอก็นัดชิมขนมในอีกหนึ่งสัปดาห์ ในสัปดาห์นั้นฉันจึงอบขนมทุกวันหลังเลิกงานเพื่อให้มั่นใจว่าสูตรของฉันสมบูรณ์แบบสำหรับวันชิม ฉันนำขนมปังกล้วยจำนวนมากไปโรงเรียนในสัปดาห์นั้นเพื่อเป็นการทดสอบและให้เพื่อนของฉันได้ลองชิม และหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ขนมปังกล้วยของฉันก็ได้วางขายที่โยคะสตูดิโอ ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นผู้คนทานขนมของฉัน มันจุดประกายความฝันที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ และหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ร้านอาหาร Broccoli Revolution ได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ของฉัน และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ขนมของฉันก็มีผู้จัดจำหน่ายใหม่ ๆ ทุกเดือนและมีลูกค้าหน้าใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย

Image: Courtesy of The Banana Warrior

อะไรคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่คุณเผชิญบนเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการ?

การดูแลพนักงานอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเล็กน้อยในบางครั้ง ฉันค่อนข้างยึดติดกับพนักงานของฉันและเมื่อพวกเขาลาออกมันทำให้ฉันรู้สึกเศร้ามาก ๆ มันเหมือนกับการสูญเสียเพื่อน ฉันกำลังพยายามยืดหยุ่นให้มากขึ้น สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เราต้องหยุดพักแผนที่เราวางไว้มากมาย แต่เราก็ชอบความท้าทาย ฝ่าฟันอุปสรรค เปิดใจและหาทิศทางใหม่ในการทำงาน

หากคุณต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 4 สิ่งที่คุณจะทำเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของคุณคืออะไร?

– มีวิสัยทัศน์: ถามตัวเองว่าคุณอยากสร้างอะไร คุณมีอะไรมานำเสนอ และอะไรที่ทำให้ของสิ่งนั้นพิเศษกว่าชิ้นอื่น

– สร้างคอนเนกชั่น: ควรสร้างคอนเนกชั่นที่ดีกับผู้อื่นที่ทำงานในสาขาที่คล้ายกัน

– ไม่ต้องกังวล: ควรยอมรับว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ในช่วงแรกเริ่มและนั่นคือเรื่องปกติ เชื่อมั่นในความสามารถของคุณว่าจะทำให้มันเวิร์คได้แน่นอน

– เปิดใจให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้: ธุรกิจของคุณจะไปในทิศทางที่คุณไม่คาดคิดหรือคาดการณ์ไว้ การเข้มงวดเกินไปอาจทำให้คุณพลาดโอกาสใหม่ ๆ มากมายที่เข้ามา

Image: Courtesy of The Banana Warrior.

การสร้างแบรนด์ดิ้ง ‘ความยั่งยืน’ ให้กับบริษัทของคุณ ช่วยดึงดูดลูกค้าหรือไม่?

เราเชื่อว่ามันเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่เราจะต้องมีสติกับสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบทั้งหมดของเรานั้นมาจากการซื้อขายที่เป็นธรรมที่สุด เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่ทุกคนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตอาหารควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม นอกจากนี้เรายังต่อต้านการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ฉันหวังว่านั่นจะเป็นคะแนนพิเศษสำหรับลูกค้าของเรา ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าให้ความใส่ใจเรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งมักจะมาพร้อมกับความสนใจเรื่องแหล่งที่มาของอาหารของพวกเขาและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม

มุมมองเรื่องความยั่งยืนในธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร?

ฉันคิดว่าเรายังมีทางไป ฉันรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นร้านค้าต่าง ๆ ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และฉันประหลาดใจที่บางแห่งยังคงใช้หลอดพลาสติกอยู่ เทรนด์รักษ์โลกอย่างยั่งยืนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันเห็นร้านอาหารและร้านกาแฟบางแห่งใช้หลอดไม้ไผ่หรือหลอดตะไคร้ และตอนนี้งานเทศกาลบางแห่งก็ขอให้ผู้คนนำแก้วเติมของพวกเขามาเอง ซุปเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวในการงดใช้ถุงพลาสติกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังเห็นลูกค้าของเราบางท่านใช้ถุงผ้าเวลามาชอปปิ้งที่ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต นำกล่องข้าวอาหารกลางวันมาเองเพื่อใส่ขนมอบของเรา เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ใด ๆ เรารักผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

คุณคิดว่าความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืนจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต? มันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร?

ฉันหวังว่าด้วยการให้ความรู้ที่กว้างขึ้น ผู้คนจำนวนมากขึ้นจะตระหนักได้ถึงวิธีการที่เราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมโดยเริ่มจากการใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ ในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจ หากเราทุกคนใส่ใจต่อวัสดุและวัตถุดิบที่เราใช้ นั่นจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก จริง ๆ แล้วมันเป็นวิธีที่ง่ายมากที่จะหันกลับมาดูแลโลกใบนี้ เราแค่ต้องเปลี่ยนนิสัยบางอย่างของเรา

แบรนด์คุณมีแผนที่จะทำอะไรน่าตื่นเต้นไหม?

ทันทีที่เราจะสามารถทำได้ เราจะดำเนินการตามแผนของเราในการเป็นแบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพระดับสากล The Banana Warrior จะขยายตัวออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและภูมิภาคอื่นในอนาคต

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Julia Panchkowry และขนมอร่อย ๆ ของเธอได้ที่ thebananawarrior.com

Leave a Comment

Share to...